ย้อนเส้นทางอิตาลีสู่เกมนัดชิงยูโร 2020 จากจุดตกต่ำสุดสู่เกินศรัทธา

 

อิตาลีล้มเหลวสุดขีดจากการตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 เมื่อขุนพลอัซซูรี่ภายใต้การคุมทีมของจิอัน ปิเอโร่ เวนตูร่า พาทีมไปพ่ายสวีเดนในรอบเพลย์ออฟ พลาดฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 58 ปี

 


หลังจากนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในสมาคมฟุตบอลอิตาลี และโรแบร์โต้ มันชินี่ถูกเลือกมานั่งแท่นในวันที่ตกต่ำที่สุดของฟุตบอลทีมชาติ และเป็นการเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่าทีมชุดกบฏของทีมชาติ

 

 

อิตาลีผ่านเข้ารอบสุดท้ายยูโร 2020 ด้วยผลงานที่สมบูรณ์แบบ ชนะ 10 เกมรวมดในการเล่นกลุ่ม J ยิงไป 37 ลูก และเสียเพียง 4 ลูก กดอาร์เมเนียไป 9-1 จากนักเตะ 7 คนที่ดาหน้ายิงในเกมสุดท้าย

 

นี่คืออิตาลีในยุคที่เล่นเกมบุกดุดันที่สุดในประวัติศาสตร์ กลายสภาพจากทีมที่บัญญัติคำว่า “คาเตนัคโช่” หรือการตีหัวเข้าบ้าน มาสู่เกมรุกเป็นบ้าเป็นหลัง

 

ในรอบแบ่งกลุ่มของยูโร 2020 อิตาลีได้ลงเล่นเกมกลุ่ม A ในกรุงโรมทั้งหมด และลงเล่นเปิดสนามด้วยการถล่มตุรกี 3-0 แบบที่โบนุชชี่กับคิเอลลินี่ไร้ปัญหายุ่งยากในการรับมือกองหน้าตุรกี

 

สวิสเซอร์แลนด์เป็นทีมที่สองที่โดนเกมรุกอิตาลีเล่นงานในสกอร์ 3-0 ด้วยวิธีการเข้าทำที่หลากหลายไปหมด และทีมชาติเวลส์ในเกมสุดท้ายที่ชนะด้วยสกอร์ 1-0 รักษาการไม่เสียประตูได้ต่อเนื่อง

 

รอบ 16 ทีมสุดท้ายอิตาลี แชมป์จากกลุ่ม A พบอันดับสองกลุ่ม C ออสเตรีย แม้จะไม่สามารถยิงและเอาชนะในเกม 90 นาที แต่แผน B จากการเปลี่ยนตัวผู้เล่นของโรแบร์โต้ มันชินี่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นชัยชนะได้

 

รอบก่อนรองชนะเลิศเป็นเกมที่ยากและท้าทาย เพราะที่ผ่านมาอิตาลีและมันชินี่ที่ไร้พ่าย 31 เกม ทาบสถิติไม่แพ้ใครยาวนานที่สุดของชาติ แต่มีคำปรามาสว่ายังไมเคยเจอทีมแข็งแกร่งจริงๆ โดยมีทีมเบลเยี่ยม อันดับหนึ่งของแร้งกิ้งค์เป็นกำแพงทดสอบใหญ่ ซึ่งเกมบุกที่ทำให้ทีมขึ้นนำ 2-0 อย่างรวดเร็วและแนวรับที่แข็งแกร่งทำให้ 90 นาทีของเบลเยี่ยมทวงคืนได้เพียงลูกเดียวจากจุดโทษของโรเมลู ลูกากู

 

 

เกมรอบรองชนะเลิศของอิตาลีเป็นกระทิงดุ ทีมชาติสเปน แม้จะมีเกมที่ครองบอลได้ไม่ดีเท่า แต่ความเหนียวแน่น และนายทวารที่ยอดเยี่ยม อิตาลีดวลโทษชนะและผ่านเข้านัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

 

นี่คือเส้นทางที่สวยงามในรอบคัดเลือกและรอบแบ่งกลุ่ม บวกกับความยากลำบากในรอบน็อคเอ้าท์ของทีมอิตาลี กับสถิติชนะทุกเกมตั้งแต่รอบคัดเลือก และยังไม่แพ้ใคร 33 เกมทุกรายการ โดยมีทีมชาติอังกฤษและแฟนบอลในเวมบลีย์ เป็นด่านสุดท้ายที่ท้าทายและแข็งแกร่งสำหรับขุนพลอัซซูรี่.

 

Scroll to Top