จับตาโครเอเชีย ความเปลี่ยนแปลงจากบอลโลก 2018 สู่ยูโร 2020

โครเอเชียกลายเป็นทีมนอกสายตาที่ยอดเยี่ยมของฟุตบอลโลก 2018 จากการทำผลงานผงาดชนะรวด 3 เกม คว้าแชมป์กลุ่มที่มีอาร์เจนติน่าของเมสซี่ร่วมด้วย ก่อนจะเข้าสู่เกมในรอบน็อคเอ้าท์ ชนะจุดโทษกับเดนมาร์ก ตามด้วยจุดโทษกับรัสเซียและชนะอังกฤษ 2-1 แม้จะปิดฉากไม่เป็นเทพนิยายด้วยการพ่ายฝรั่งเศส 4-2 แต่ก็เรียกเสียงชื่นชมจากทั่วสารทิศ

 

 

ผ่านมา 3 ปีหลังจากที่อิวาน ราคิคิซและลูก้า โมดริชกลายเป็นกองกลางระดับท็อป เดยัน ลอฟเรนและโดมากอจ วิด้าสร้างความแข็งแกร่งในแนวรับ อิวาน เปริซิชร่วมกันอันเต้ เรบิชและมาริโอ มานซูคิสสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แนวรับคู่แข่ง ภายใต้การวางแผนอย่างแยบยลของอดีตผู้จัดการทีมอัล-ไลน์ ซลัตโก้ ดาลิก มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?

 

แน่นอนว่าซลัดโก้ ดาลิกยังได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่มีผู้เล่นแค่ 7 คนที่เป็นตัวหลักของชุดบอลโลก 2018 นัดแรกอยู่ในรายชื่อทีม 26 คนชุดนี้

 

โมดริชยังคงมีรายชื่อเป็นคนสำคัญเช่นเดียวกับมาร์เซโล่ โบรโซวิชและอีวาน เปริซิชที่ยังอยู่และเพิ่งมีส่วนช่วยให้อินเตอร์คว้าแชมป์เซเรีย อา ขณะที่กองหลังจากแอตฯ​ มาดริด ซิเม่ เวอร์ซัลจ์โกยังจะทำหน้าที่ผสานงานกับลอฟเรน และวิด้าในแนวรับเช่นเดิม แต่จะไม่มีชื่อของอิวาน ราคิติชและดานิเจล ซูบาซิชที่รีไทร์จากทีมชาติไปแล้ว

 

 

นอกจากผู้เล่นชุดนี้ที่ตัวเก๋าอายุเกิน 30 กันแล้ว รายชื่อส่วนใหญ่ที่เป็นดาวรุ่งก็มีพรสวรรค์น่าสนใจ มิสลาฟ ออร์ซิชที่ยิงไป 16 จาก 32 เกมให้กับดินาโม ซาเกร็บอาจจะสร้างชื่อกระฉ่อนได้ หรือดูเจ คาเลตา-คาร์ แนวรับร่างยักษ์ที่ยึดตัวจริงของโอลิมปิก มาร์กเซย์ได้ก็อายุแค่ 24 ปี

 

ปัญหาของโครเอเชียคือการที่ดันจับฉลากมาอยู่กลุ่มเดียวกันกับอังกฤษในการเล่นที่เวมบลีย์และรอล้างแค้นเกมรอบรองชนะเลิศที่รัสเซีย และเจอสก็อตแลนด์ที่ได้สิทธิ์เล่นในแฮมเด้น ปาร์ค ซึ่งก็เหมือนการเล่นในบ้านของทั้งสองคู่แข่งที่บรรยากาศจะทำให้งานยากเป็นเท่าตัว การจะได้เห็นโครเอเชียทำผลงานสะท้านฟ้าน่าจะเป็นการพิสูจน์ว่าโมดริชและเปริซิชจะหมดมนต์ไปพร้อมอายุหรือยัง?.

 

Scroll to Top